(สกู๊ปข่าว เมือง ไม้ขม ) ทางรอดของแรงงานใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ที่การเกิดขึ้นของ”อุตสาหกรรม”ใน 4 จังหวัด

(สกู๊ปข่าว เมือง ไม้ขม ) ทางรอดของแรงงานใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่ที่การเกิดขึ้นของ”อุตสาหกรรม”ใน 4 จังหวัด

ภาพแห่งความเป็นจริงสำหรับแรงงาน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะใน จ.ปัตตานี,ยะลา ,นราธิวาส และหลายอำเภอของ จ.สงขลา โดยเฉพาะ อ.จะนะ ซึ่งส่วนใหญ่ในยามที่ บ้านเมืองเป็น”ปกติ” คือการ เดินทางไป”ขายแรง” หรือ”ทำงาน” ในประเทศมาเลเซีย และ ส่งเงิน กลับบ้านเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ค่าเทอม ให้กับครอบครัวที่อยู่ข้างหลัง

แต่หลังการมาเยือนของ”โควิด 19” ภาพใหม่ที่ปรากฏแทนคือ คนเหล่านี้เดินทางกลับมายัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แบบ”สิ้นหวัง” ตกงาน ไร้เงิน ครอบครัวได้รับความลำบาก ไม่มีเงินส่งเสียให้ลูก หลาน เรียนหนังสือ และหลายครอบครัวถึงขนาดที่เรียกว่า”ไม่มีกิน”

ภาพต่อมา ซึ่งเป็นภาพแห่งความเป็นจริง คือภาพของ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต.) ที่พบปะพูดคุย กับ แรงงาน ที่ตกงานจากประเทศมาเลเซีย และได้งานใหม่ในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ ศอ.บต. เป็นผู้ประสานงานในการส่งแรงงาน ที่เดือดร้อนในพื้นที่ 3 จังหวัดไป ทำงาน

ทั้งใน จ.เพชรบุรี ในรอบแรก และ รอบ 2 ของ โควิด 19 และ ใน จ.กาญจนบุรี ,ระยอง และ จังหวัดอื่นๆ ในการระบาดของ”โควิด 19” รอบที่ 3 และภาพเช่นนี้ ยังจะปรากฏให้เห็นอีกเรื่อยๆ ตราบใดที่ “โควิด 19” ยังควบคุมไม่ได้ยังมีการระบาดเพิ่ม และ ประเทศมาเลเซีย ยังไม่เปิดรับ แรงงาน จากต่างชาติไปทำงาน

นี้ถือภาพแห่งความเป็นจริง ที่แรงงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องอาศัยโรงงานอุตสาหกรรมเป็นสถานที่ทำงาน เพื่อให้ได้เงินเดือน มาใช้ในการเลี้ยงตนเอง และ เลี้ยงดูครอบครัว

ดังนั้นหากต้องการที่จะแก้ปัญหาแรงงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลาอย่างถาวร พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องมีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อรองรับแรงงานเหล่านี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเดินทางไปทำงานยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งบางครั้งถูกหลอกลวง ถูกเอารัดเอาเปรียบ รวมทั้งไม่ต้องเดินทางไปยัง ภาคอื่นๆของประเทศไทย ที่ไม่คุ้นเคยกับ วิถีวัฒนธรรม ของตนเอง

การลงทุนในพื้นที่ใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี,ยะลา ,นราธิวาส และ สงขลา จึงเป็น หนทางหนึ่งในการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และแก้ปัญหาคนว่างงาน ที่ได้ผลอย่างแน่นอน

ซึ่ง วันนี้ รัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันให้จังหวัดทั้ง 4 จังหวัด ที่มีโครงการ”เมืองต้นแบบ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ให้เป็นเมือง “ปลอดภาษี” ตามมติของ ครม.ไปแล้ว นั้นหมายถึงในอนาคตพื้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา พื้นที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี พื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา และพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จะเป็น”เมืองปลอดภาษี” ที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวการลงทุนและธุรกิจการค้าขาย

และต่อมารัฐบาลชุดนี้ ก็ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ พื้นที่ 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา เป็นพื้นที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการขออนุญาตก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเป็นเวลา 5 ปี เพื่อเป็นการ จูงใจ ให้มีการลงทุน สร้างโรงงานในพื้นที่ดังกล่าว

แน่นอนทั้งหมดคือการอำนวยประโยชน์ให้”กลุ่มทุน” เพราะในยามที่ เศรษฐกิจของประเทศ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจาก”โควิด 19” ที่ เศรษฐกิจของประเทศต้องใช้เวลาฟื้นตัว 2-3 ปี ข้างหน้า ถ้าการพัฒนาประเทศไม่พึ่งพา กลุ่มทุน รัฐบาลจะเอาเงินที่ไหนมาเพื่อพัฒนาประเทศ

แต่…สิ่งที่จะติดมามาจากกลุ่มทุน ที่เข้ามาลงทุน คือคนในพื้นที่ได้ประโยชน์ แรงงานที่ตกงานได้ทำงานใกล้บ้าน ที่เป็นวิถีวัฒนธรรมที่ไม่”แปลกแยก” นักเรียน นักศึกษา จบใหม่ มีงานทำ นักเรียน นักศึกษา ที่ยังศึกษาอยู่ มีความหวัง มีอนาคต ว่าจะไม่ตกงาน ท้องถิ่นที่มีการลงทุน มีความเจริญขึ้น คนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อม

เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่การเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเล็ก หรือใหญ่ ที่ประชาชนจะไม่ได้รับประโยชน์ตามที่ เอ็นจีโอ มีการกล่าวอ้าง เพราะ ที่เป็นประจักษ์ โรงงานทุกโรง ที่เกิดขึ้น คือ แหล่งรองรับ แรงงาน ในพื้นที่ ยกเว้น คนในพื้นที่ ไม่สนใจที่ทำจะงานในโรงงาน จนต้องนำแรงงาน ต่างชาติ เช่น เมียนมา กัมพูชา สปป.ลาว และ อื่นๆ เข้ามาแทนที่

เห็นชัดเจนคือโรงานแปรรูปทุเรียนที่ อ.เทพา จ.สงขลา โรงงานแปรรูปมะพร้าว ที่ อ.หนองจิก โรงงานปาล์ม และอื่นๆ ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส รวมทั้งใน จ.สงขลา ต่างเป็นแหล่งในการ สร้างงาน สร้างเงิน ให้กับคนในพื้นที่ทั้งสิ้น

แม้แต่โรงงานไฟฟ้าชีวะมวล จำนวน 10 กว่าโรง ที่เกิดขึ้นใน จ.สงขลา จ.ยะลา ปัตตานี ผู้ที่ได้ทำงานในโรงงาน และผู้ที่ได้ประโยชน์จากการ ขายไม้ ขายวัตถุดิบ ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงของ โรงไฟฟ้าชีวะมวล ล้วนแต่เป็นคนในท้องถิ่นมากกว่าคนต่างถิ่น ยกเว้น คนในท้องถิ่นไม่ทำ

ดังนั้นการที่คนในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่สนับสนุนให้” เมืองต้นแบบที่ 4” เกิดขึ้นที่ อ.จะนะ จ.สงขลา จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะภาพที่เห็นอยู่ใน 2 ปีที่ผ่านมา ที่พี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และคนใน อ.จะนะ,เทพา ส่วนหนึ่ง ที่ตกงานจากประเทศมาเลเซีย และต้องเดินทางไป ทำงานในโรงงานต่างถิ่น ต่างภาคไม่ว่าจะเป็นที่ จ.เพชรบุรี ,กาญจนบุรี ,ระยอง และ อื่นๆเป็นภาพที่ฟ้องให้เห็นถึงข้อเท็จจริงที่”ทนโท่” ว่า เป็นเพราะบ้านเราไม่มีโครงการใหญ่ ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม แรงงานในพื้นที่จึงต้อง”พลัดที่นา คาที่ไร่” เพื่อไปทำงานต่างถิ่น ที่ ศอ.บต. เป็นผู้ จัดหาให้

และถ้าเราสามารถช่วยกันสนับสนุน ให้กลุ่มทุนเข้ามาลงทุน เข้ามาลงทุนในพื้นที่ 4 จังหวัดของเรามากขึ้น ภาพของการเดินทางไปทำงานยัง”ต่างถิ่น” ที่ต่างวิถี วัฒนธรรม ก็จะไม่เกิดขึ้น ในการเดินทางไปทำงานยัง “ต่างบ้านต่างเมือง” ที่ ญาติพี่น้อง มาส่งด้วยสีหน้าแสดงความห่วงใย ก็จะไม่ปรากฏให้เห็น อย่างที่เห็นกันทุกครั้ง ที่ ศอ.บต. ส่งแรงงานเหล่านี้ เพื่อเดินทางทางไกล

ก็ได้แต่คาดหวังว่า หลังการชะลอตัวของโควิด 19” ในทุกประเทศ กลุ่มทุน ที่นอกเหนือจากโครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา เช่น กลุ่มทุนจาก ประเทศเกาหลีใต้ ที่เคยมาดำเนินการเรื่อง”อุตสาหกรรมถ่านชีวะมวล” ที่ผลิตจาก”ไม้ไผ่” และ”อุตสาหกรรม” ต่างๆ ที่เคยประสานงานกับ ศอ.บต. จะได้กลับมาสานต่อโครงการเหล่านั้นอีกครั้งหลังจากที่ทุกประเทศสามารถเดินทางสัญจรได้ตามปกติ

รวมทั้งโครงการ”ไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง” ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะมีการเกิดขึ้นของ โรงไฟฟ้าชีวะมวล เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ให้เพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่

ถ้าต้องการให้จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ้นจากความยากจน คนมีการงาน เพื่อพ้นจากความยากจน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องมี อุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ เท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ มิฉะนั้น ภาพทั้งหมดที่กล่าวมาก็จะเป็นอย่างที่เห็น และเป็นเช่นนี้ตลอดไป เพราะทั้งหมดคือการแก้ปัญหาที่”ปลายเหตุ” ทั้งสิ้น

 

Related posts